วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประยุทธ์ ขอม็อบอย่าชุมนุมแรง

ประยุทธ์ ขอม็อบอย่าชุมนุมแรง ชี้ เหลิม ปูดมือที่ 3 บึ้มม็อบแค่เป็นห่วง ไฟเขียวทหารร่วมม็อบได้หลังเลิกงาน แต่ไม่ควร
MThai News ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า การชุมนุมเป็นเรื่องของประชาธิปไตย ซึ่งปัญหาประชาธิปไตยของประเทศไทยมีมายาวนาน ตั้งแต่ พ.ศ.2475 หาประชาธิปไตยกันเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง ก็ต้องหากันต่อไป
ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ม็อบ, เฉลิม อยุ่บำรุง, หน้ากากขาว, เสื้อแดงชุมนุม
แต่ขอร้องว่า ทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น ทำอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ทำอย่างไรไม่ให้คนในชาติแตกแยกกัน คิดว่า เราเป็นคนพุทธที่มีความโอบอ้อมอารีต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน เราคงไม่มาฆ่าฟันกัน ต้องไปแยกแยะกันให้ดีว่า การชุมนุมเป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตย ที่ผ่านมารามีบทเรียนมาแล้ว
หากมีการชุมนุมและใช้ความรุนแรง เกิดขึ้น จะเป็นการยากที่จะให้เจ้าหน้าที่ทำให้เกิดความสงบได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ และเจ้าหน้าที่จะลำบากใจในการทำงาน
คราวนี้ทหารไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ทหารเป็นประชาชนที่คอยฝ้าระวัง มีอะไรจะแจ้งตำรวจให้ทราบ เราคุยไว้กับผบ.เหล่าทัพหมดแล้วว่า หากมีปัญหาอะไรก็จะเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงาน เพราะถือเป็นด่านแรกในการแก้ปัญหาภายในทั้งหมดของประเทศชาติ
ส่วนทหารจะเข้าไปร่วมชุมนุมนอกเวลาก็สามารถทำได้ เพราะถือเป็นสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่สมควร เพราะต้องพิจารณาตัวเองว่า หากบางสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เขาก็ไม่ควรเข้าไปร่วม เพราะเป็นเจ้าหน้าที่
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นห่วงว่า จะมีมือที่ 3 อาจมาโยนระเบิดเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ทุกคนมีความเป็นห่วงทั้งสิ้น คิดว่า ทุกท่านที่พูดออกไปเพราะความห่วงใย ต้องมองว่า คนที่พูดมีความหมายอะไร ถ้าเขียนให้เป็นกลางๆไปก็ไม่มีปัญหา
ไม่ว่าจะมือไหน ถ้าจับได้ก็ผิดทุกมือ เพราะกฎหมายมีอยู่ และยังไงเราก็ล้มกฎหมายไม่ได้ เพราะทุกประเทศอยู่ด้วยกฎหมาย ส่วนทหารมีการติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด เพราะมีคนหลายพวกที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
คนไทยมี 60 กว่าล้านคน อาจจะมีมือที่ 65 ล้านก็ได้ ทุกคนคิดคนละอย่าง ซึ่งเราจะทำอย่างไรให้คน 65 ล้านคน คิดไม่เหมือนกันน้อยลงไปทีละกลุ่ม จนท้ายสุดลดลงเหลือเพียงกลุ่มเดียว บ้านเมืองจะไปได้ด้วยดี อะไรที่เป็นปัญหาก็เอากฎหมายมาแก้กันไป เพราะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้
ทั้งนี้หากเกิดปัญหาเผชิญหน้ากัน 2 กลุ่มก็จะต้องหาทางคุยกัน ถามว่า ถ้าตีกันใครเสียหาย บาดเจ็บล้มตายไป ใครเดือดร้อน จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาลูกเมียก็เดือดร้อน ลำบากอยู่ คนตายไปต้องนึกถึงลูก เมีย คนที่อยู่ข้างหลังเขาลำบาก
คิดว่า คนไทยทุกคนต้องรู้จักเคารพตัวเอง และเชื่อมันในตัวเอง และมองผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ต้องมองว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติ จะทำอย่างไรให้ประเทศปลอดภัย และเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการเข้าไปสู่ประชาคมอาเซียน ปัญหามีกันทุกประเทศ
แต่วิธีการแก้ปัญหาแตกต่างกันไป ต้องเอาปัญหามาปรึกษากันว่า มีกี่ข้อ ถ้ามี 10 ข้อต้องค่อยๆแก้กันทีละข้อ ถ้านำปัญหาทุกข้อมารวมกันแล้วจะแก้ไม่ได้ และจะเป็นการบีบคั้นเจ้าหน้าที่ ประชาชน ทุกอย่างไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย
เหลืออย่างเดียว คือ ต้องตายกันไปข้างหนึ่งทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งคงไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เราอย่าให้การเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยจะต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการ สูญเสีย นองเลือด มันไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะประเทศเราเป็นคนไทยพุทธ และทุกศาสนาอยู่ร่วมกัน ช่วยทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่ารัก แล้วทำไมวันนี้เราต้องให้อะไรมาทำให้พวกเราต้องแตกแยกกันออกไป
ขณะเดียวกัน ตนในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความมั่นคง ขอให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยกันให้ได้ และให้ทหารอยู่ในจุดที่พอเหมาะพอควร อย่าเรียกร้องให้ทหารออกไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ทหารจะใช้วิจารณญาณ กฎหมาย และประสบการณ์ ทำหน้าที่ของทหารให้ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชาชน
ท้ายสุดคนเดือดร้อน คือ ประชาชน การเรียกร้องประชาธิปไตยร้อยครั้ง หรือพันครั้ง คนสูญเสีย บาดเจ็บ ล้มตาย คือประชาชน ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ไม่ใช่คนรวย นั่นคือ ปัญหาของเรา คือ จะทำอย่างไรให้เขาอยู่ดีกินดี อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว สมเด็จพระพระบรมราชินีนาถ ได้มีความพออยู่พอกินตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ต้องจำว่า เราต้องมีเหตุมีผล มีความพอประมาณ และภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่ง 3 อย่างนี้จะทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้ด้วยดี ขอให้อดทน
MThai News   art suparak

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น